นักธุรกิจหรือเจ้าของกิจการที่ต้องการเริ่มทำธุรกิจในอเมริกามีทางเลือกหลักๆอยู่สองทาง ทางแรกคือ การยื่นขอวีซ่า E-2 ซึ่งเป็นวีซ่าที่อนุญาตให้นักธุรกิจหรือผู้ประกอบการอยู่ในอเมริกาเพื่อประกอบธุรกิจได้หากมีเงินลงทุนมากพอสมควร อีกทางเลือกหนึ่งคือ การยื่นขอวีซ่า EB-5 ซึ่งเป็นการขอย้ายถิ่นที่อยู่ถาวร ในกรณีที่ผู้ยื่นมีเงินลงทุนมากกว่า $500,000 ขึ้นไป
ทั้งสองกรณี ผู้ลงทุนต้องสามารถพิสูจน์กับรัฐบาลได้ว่าเงินลงทุนมาจากแหล่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย และได้มาจากการทำงานที่ถูกต้อง จุดสำคัญคือต้องมีเอกสารเพื่อยืนยันด้วย เอกสารที่นำมาใช้ในการพิสูจน์ก็เช่น เอกสารเกี่ยวกับการเสียภาษี, Bank Statements, Financial Statements ในกรณีที่มีธุรกิจ, เอกสารการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท, ในกรณีที่ได้เงินมาจากการขายทรัพย์สินก็ต้องมีหลักฐานเช่นกัน
ผู้ลงทุนควรให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ด้วย
- ในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะการยื่นขอวีซ่า E-B5 อิมมิเกรชั่นจะลงรายละเอียดและต้องการดูเอกสารมากกว่าที่ตัวบทกฎหมายเขียนไว้ ผู้ยื่นจึงควรเตรียมเอกสารให้พร้อมอย่างมากและดีที่สุด
- นักลงทุนไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เงินทุกบาททุกสตางค์ที่มีในบัญชี เพียงแต่ต้องพิสูจน์แหล่งที่มาของเงินที่จะนำมาใช้ในการลงทุนเท่านั้น
- สำหรับผู้ที่มาจากประเทศที่ไม่มีความจำเป็นต้องยื่นเสียภาษีรายได้ประจำปีหรือประเทศที่มีประวัติการคอรัปชั่นมาก อิมมิเกชั่นอาจจะขอดูเอกสารมากกว่านักลงทุนที่มาจากประเทศอื่น ดังนั้นกฎเกณฑ์ในการเตรียมเอกสารก็แตกต่างกันไปขึ้นกับว่าคุณมาจากประเทศอะไรด้วย
- มีความจำเป็นต้องพิสูจน์แหล่งที่มาของเงิน เช่นหากได้เงินมาจากการให้ แหล่งที่มาของรายได้ของผู้ให้ก็ต้องถูกต้องตามกฎหมายด้วย ถ้าหากได้เงินมาจากการกู้ยืม ก็ต้องมีหลักฐานเพื่อยืนยันแหล่งที่มาของรายได้ของผู้ให้กู้ด้วย
- นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องอธิบายแหล่งที่มาของรายได้อย่างละเอียดและทำสารบัญเพื่อให้เอกสารหาได้ง่าย อิมมิเกรชั่นมีเคสที่ต้องพิจารณามาก หากคุณเตรียมเคสไม่ดี เจ้าหน้าที่อาจจะปฏิเสธเคสคุณได้เพราะว่าเอกสารจัดเรียงไม่เป็นลำดับและทำให้เขาต้องเสียเวลาในการพิจารณาเคสคุณ
- ในเคสของ EB-5 ส่วนใหญ่และ E-2 บางเคส การเตรียมเอกสารเพื่อพิสูจน์แหล่งที่มาของเงินลงทุนเป็นส่วนที่ใช้เวลาในการเตรียมมากที่สุด และมักเป็นส่วนสำคัญที่อิมมิเกรชั่นใช้ในการตัดสินเคส